ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกคนอาจจะได้เห็นคำว่า ‘ยั่งยืน’ ผ่านตาอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นเพราะว่าทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศของโลก รวมถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่หลายธุรกิจจะออกนโยบายให้สอดคล้องกับแนวคิด Sustainable Business ที่กำลังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอยู่ในตอนนี้
แนวคิด Sustainable Business คืออะไร?
หากพูดถึงความยั่งยืน สิ่งแรกที่หลายคนอาจนึกถึงคือ การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่จริงๆ แล้ว แนวคิด Sustainable Business คือ การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันในชื่อ ESG (Environment, Social and Governance)
ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) : ธุรกิจของเราจะต้องมีเป้าหมายการนำพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทนเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต หรือมีนโยบายที่ลด หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสภาพอากาศ ป่าไม้ มหาสมุทร และโลก
ด้านสังคม (Social) : ธุรกิจของเราจะต้องมีนโยบายที่ดูแลพนักงาน หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น หรืออาจจะมีนโยบายที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้
ด้านธรรมาภิบาล (Governance) : ธุรกิจของเราจะต้องมีระบบการทำงานภายในที่ดี ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข มีความยุติธรรม ไม่มีการทุจริต และต้องตรวจสอบได้
จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 ประเด็นนี้ ล้วนมีเป้าหมายให้สังคมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญยังเป็นวิธีการที่สามารถทำได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
ต้องทำอย่างไรถึงจะได้ใจผู้บริโภค?
แน่นอนว่าเมื่อทั้ง 3 ประเด็นนี้ กลายมาเป็นปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคจะใช้ในการตัดสินใจ จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นทำธุรกิจ ที่จะนำแนวคิด Sustainable Business เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการดำเนินธุรกิจ เช่น มีนโยบายจ่ายค่าแรงพนักงานอย่างเป็นธรรม เป็นต้น นอกจากจะเป็นการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจของเราแล้ว ยังเป็นการคืนคุณค่ากลับสู่สังคมไปพร้อมๆ กันด้วย
สำหรับผู้ที่เริ่มทำธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีนโยบายที่สอดคล้องกับความยั่งยืน ก็อาจเริ่มต้นทีละประเด็นแล้วค่อยๆ เพิ่มจนครอบคลุมครบทั้ง 3 ประเด็น เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในทุกมิติจริงๆ เช่น จากเดิมเคยใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก ก็เปลี่ยนเป็นบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นต้น เพื่อดึงใจของผู้บริโภคให้กลับมาสนใจธุรกิจของเรามากขึ้น
ตัวอย่างแบรนด์ดังระดับโลกที่เติบโตมาพร้อมกับความยั่งยืน
Starbucks ร้านกาแฟชื่อดังที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก โดย Starbucks มีแนวทางปฏิบัติที่ชื่อว่า Coffee and Farmer Equity (C.A.F.E.) Practices ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรในทุกรูปแบบ เพื่อสร้างมาตรฐานการทำไร่กาแฟที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับพนักงาน ทั้งในเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ สถานที่ทำงาน รวมไปถึงที่พักอาศัยของพนักงานอีกด้วย
Dairy Home บริษัทผู้ผลิตนมออร์แกนิครายแรกในประเทศไทย ที่มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรฟาร์มโคนมหันมาทำฟาร์มออร์แกนิคกันมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรฟาร์มโคนมมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนลดลง นอกจากนี้ Dairy Home ยังมีนโยบายการจ้างงานคนในชุมชน ถือเป็นการสร้างอาชีพ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
Uniliver บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลก ที่ปัจจุบันหันมารับซื้อน้ำมันปาล์มจากแหล่งผลิตที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า ลดการใช้พลาสติกสำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ และปรับเส้นทางการจัดส่งสินค้าให้สั้นที่สุด เลือกใช้ยานพาหนะที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด เพื่อช่วยลดการเกิดภาวะโลกร้อนนั่นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้าง? กับแนวคิด Sustainable Business ที่เรามาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักในวันนี้ หวังว่าจะเป็นไอเดียให้ชาว Startup ทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่า ได้มองเห็นโอกาสการเริ่มทำธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้ และช่วยให้ประเทศไทยมีธุรกิจที่พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ หากใครมีแนวคิดธุรกิจดีๆ พร้อมกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเจ๋งๆ และอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก TED Fund ก็พร้อมสนับสนุนทุนและองค์ความรู้ เพื่อผลักดันให้ฝันของคุณกลายเป็นจริงได้
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://thestandard.co/the-sme-handbook-by-uob-sustainable-business/
https://www.schoolofchangemakers.com/knowledge/1302/
https://www.starbucks.co.th/th/ethical-sourcing/coffee-sourcing/
Leave a Response